2552-09-19

Multinational Company

บริษัทข้ามชาติ (Multinational Company) คือ บริษัทที่ขยายธุรกิจด้วยการสร้างบริษัทลูกในต่างประเทศ โดยบริษัทลูกจะมีความรับผิดชอบในเรื่องการปรับตัว การตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม การแข่งขัน และความต้องการของลูกค้าในประเทศนั้น ด้วยตัวเอง หรือ คือธุรกิจที่เป็นเจ้าของทรัพย์สิน สามารถควบคุมการผลิต โรงงานอุตสาหกรรม เหมืองแร่ ที่ดิน สำหรับการผลิตวัตถุดิบ สำนักงาน ที่ทำหน้าที่ขาย โดยมีทรัพย์สินกระจายอยู่ตั้งแต่สองประเทศขึ้นไป

ประกอบด้วย 4 รูปแบบคือ
1.
แบ่งตามหน้าที่ คือ แบ่งเป็นแผนกในการบริหาร
2.
แบ่งตามสายการผลิต คือ บางบริษัทนั้นมีประเภทผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายทำให้ต้องมีสายการผลิตที่แตกต่างกันออกไป
3.
แบ่งตามภูมิประเทศ คือ บางประเทศนั้นความต้องการของผู้บริโภคนั้นแตกต่างกัน
4.
แบ่งแบบผสมผสาน คือ เอาทั้งหมดมาประยุกต์

บรรษัทข้ามชาติส่วนใหญ่มีบริษัทแม่อยู่ในประเทศโลกที่หนึ่ง แต่ปัจจุบันมีการย้ายฐานการผลิตเข้ามาสู่ประเทศโลกที่สามมากขึ้น เหตุผลที่ทำให้บรรษัทข้ามชาติสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศโลกที่สามก็คือ ประการแรก การถูกต่อต้านจากประชาชนและถูกควบคุมอย่างเข้มงวดจากกฎหมายหรือกลไกภายในประเทศของตน ประการที่สอง การเล็งเห็นผลประโยชน์ในการเข้ามาลงทุนในประเทศโลกที่สาม เช่น ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นปัจจัยในการผลิตในกระบวนการอุตสาหกรรม รวมถึงอัตราค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราค่าจ้างในประเทศตน และความล้าหลังของกฎหมาย หรือมาตรการควบคุมการดำเนินธุรกิจและผลกระทบที่จะเกิดขึ้น

เพิ่มเติมนิดหน่อยครับ โครงสร้างอำนาจข้ามชาติกับบรรษัทข้ามชาติ
โครงสร้างอำนาจสำคัญที่ทำหน้าที่ผลักดันแนวคิด อุดมการณ์ รวมถึงกลไกการจัดการ กำกับให้ทุกประเทศมีทิศทางเศรษฐกิจสังคมในแนวทางเดียวกัน เกิดเป็นโครงสร้างอำนาจข้ามชาติ ได้แก่

1.
กลุ่มประเทศ จี 8 (G 8)
ประกอบด้วยประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี ญี่ปุ่น และจีน เป็นกลุ่มประเทศที่มีโครงสร้างอำนาจและฐานะทางเศรษฐกิจเป็นแกนนำทางเศรษฐกิจของสังคมโลก มีอำนาจกำหนดนโยบายเศรษฐกิจโลก ภายใต้เงินทุน อุดมการณ์และ
ความคิด
2.
องค์กรระหว่างประเทศ เช่น ธนาคารโลก (World Bank) องค์กรการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) เป็นสถาบันกำกับสมาชิกประเทศให้ดำเนินนโยบายภายใต้ทิศทางทุนนิยมโลก รวมถึงการทำหน้าที่สนับสนุน จัดตั้งหน่วยงานการวางแผน หน่วยงานด่านการดำเนินการและส่งเสริมการลงทุน การพัฒนาอุตสาหกรรม เพื่อการดำเนินนโยบายและบทบาทที่เป็นประโยชน์โดยตรงต่อแนวทางการดำเนินธุรกรรมของบรรษัทข้ามชาติ
3.
บรรษัทข้ามชาติ เป็นองค์กรธุรกิจเอกชนที่มุ่งแสวงหากำไรโดยผ่านการลงทุนข้ามชาติในธุรกรรมการผลิต การค้า การเงิน ซึ่งเป็นที่ต้องการของประเทศโลกที่สาม บทบาทสำคัญอีกประการ คือการเผยแพร่แนวคิดทฤษฎีผ่านการสนับสนุนด้านวิชาการ การศึกษาในรูปของมูลนิธิ เช่น มูลนิธิโตโยต้า มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ มูลนิธิฟอร์ด มูลนิธิเอเชีย ฯลฯ

Information : http://www.esaanvoice.net/esanvoice/know/show.php?Category=topreport&No=1770

Mode of Entry

การนำสินค้าไปขายในต่างประเทศ ข้อสำคัญประการหนึ่งคือจะทำอย่างไรให้สินค้าของเรา เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายตามความต้องการ
ตัวกลางในการกระจายสินค้าของเราก็คือ “คนกลาง” หรือ “ช่องทางจำหน่าย”

ในการทำการค้าระหว่างประเทศ อาจแบ่งนโยบายการจัดจำหน่าย (Distribution Policy) หรือวิธีการเจาะเข้าไปในตลาดเป้าหมายได้ 2 วิธี หรือ 2 ช่องทางใหญ่ๆ คือ

วิธีแรก ผลิตในประเทศแล้วส่งออก ซึ่งก็มี 2 วิธีคือ

1.การส่งออกทางอ้อม (Indirect Export) หมายถึงการส่งออกโดยผ่านกลุ่มคนกลางในประเทศ เช่น Trading Company, Buying Agent

2.การส่งออกทางตรง (Direct Export) หมายถึงผู้ผลิตเป็นผู้ส่งออกโดยตรง โดยส่งออกหรือขายให้กับกลุ่มคนกลางในต่างประเทศ เช่น Importer, Wholesaler, Retailer, Agent Overseas Marketing Subsidiary

วิธีที่สอง ผลิตและจำหน่ายในต่างประเทศ คือไปทำการผลิตและจำหน่ายในประเทศเป้าหมาย ซึ่งสามารถเลือกวิธีการผลิตได้
6วิธี
1. Exporting

2.Turnkey project

3.Licensing

4.Franchising

5.Joint Ventures

6.Wolly owned Subsidianes
Information : http://www.ksmecare.com/News_Popup.aspx?ID=4498

International strategic Analysis

ซึ่งวิเคราะห์จากองค์ประกอบภายในและภายนอก
-องค์ประกอบภายในคือดูจาก value chain คือการวิเคราะห์จากองค์ประกอบภาพรวมทั้งองค์กร
  • ปัจจัยพื้นฐานหลัก-การขนส่งปัจจัยการผลิต

-กระบวนการผลิต

-การขนส่งสินค้าสู่ผู้บริโภค

-การตลาด

-การบริหารจัดการ

  • ปัจจัยพื้นฐานสนับสนุน-ปัจจัยด้านสาธารณูปโภค

-การบริหารทรัพยาการมนุษย์

-เทคโนโลยี

-การจัดการ

การกำหนดกลยุทธ์ระดับนานานชาติ

กลยุทธ์ในการจัดการของบริษัทข้ามชาติ ซึ่งวิเคราะห์จากการแบ่งอำนาจการบริหาร แลโครงสร้างขององค์กร

1.กลยุทธ์ระหว่างประเทศ-เป็นการรวมอำนาจศุ่ส่วนกลางต้องการความเป้ฯเอกภาพ

2.กลยุทธ์การปรับหาท้องถิ่น-เป็นการกระจายอำนาจ สู่ความต้องการผู้บริโถฃภคดดยตรง

3.กลยุทธ์ที่มุ่งสร้างความเป็นสากล-เน้นสร้างมาตรฐานหรือความเป็นเอกภาพแก่ตัวสินค้า

4.กลยุทธ์ข้ามชาติ-เป็นการผสมผสานทุกๆวิธีการ

สุดท้ายคือการประเมิน ควบคุม และปรับกลยุทธ์ เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพ ขององค์กรทั้งภายนอกภายใน ซึ่งอาจมีปะญหา โดยวิเคราะห์จากงบการเงิน หรือในระดับมหัพภาค และจุลภาค

Information : http://school.obec.go.th/keansapitayakom/business/co_nation.htm

Five Force model

แนวทางการวิเคราะห์ของ Michael E. Porter มีดังนี้

1. อุปสรรคกีดขวางการเข้าสู่อุตสาหกรรม(Rivalry Among Current Competitors) จะได้แก่
- การประหยัดจากขนาด (Economies of scale) เนื่องจากผลิตสินค้าที่เป็นมาตรฐานจำนวนมาก ซึ่งทำให้
ต้นทุนของสินค้าลดต่ำลง เพราะสามารถลดต้นทุนคงที่ต่อหน่วยลดลง
- การผูกพันในตรายี่ห้อ (Brand Loyalty)
- เงินลงทุน (Capital requirements) ถ้าต้องลงทุนสูง ก็จะเป็นอุปสรรคต่อรายใหม่
- การเข้าถึงช่องจัดจำหน่าย (Access to distribution)
- นโยบายของรัฐบาล ถ้ารัฐบาลไม่มีนโยบายส่งเสริม หรือมีข้อห้ามสัมปทาน
- ต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแปลงการใช้สินค้า (Switching cost) ถ้าลูกค้าต้องมีต้นทุน หรือค้าใช้
จ่ายในส่วนนี้สูง ต้นทุนเหล่านี้ซึ่งอาจได้แก่ ต้นทุนของอุปกรณ์เครื่องจักรที่ต้องปรับเปลี่ยนเพิ่ม หรือ
อาจจะเป็นระบบงานที่ต้องจัดรูปแบบใหม่ ค่าฝึกอบรมแลสอนงานให้กับพนักงานเพื่อให้ทำงานตามระบบ
ใหม่เป็นต้น
- ข้อได้เปรียบต้นทุนในด้านอื่นๆ เช่น เป็นเจ้าของเทคโนโลยีเฉพาะ มีวัตถุดิบราคาถูก มีทำเลที่ตั้งดีกว่า มี
แหล่งเงินทุนที่ต้นทุนถูก และทำมานนานจนเกิดการเรียนรู้

2. แรงผลักดันจากผู้ผลิตหรือคู่แข่งที่มีในอุตสาหกรรม (Threat of New Entrance)
- จำนวนคู่แข่งขัน ถ้าคู่แข่งขันมีจำวนมาก หรือ มีขีดความสามารถพอๆกัน จะทำให้มีการแข่งขันที่รุนแรง
- อัตราการเติบโตของอุตสาหกรรม ถ้าอุตสาหกรรมยังคงเติบโต การแข่งขันจะไม่รุนแรงมากนัก
- ความแตกต่างของสินค้า ถ้าสินค้ามีความแตกต่างกันไป การแข่งขันก็จะน้อยลง
- ความผูกพันในตรายี่ห้อ
- กำลังการผลิตส่วนเกิน ถ้าอุตสาหกรรมมีกำลังผลิตส่วนเกิน การแข่งขันจะรุนแรง
- ต้นทุนคงที่ของธุรกิจ และต้นทุนในการเก็บรักษา
- อุปสรรคกีดขวางการออกจากอุตสาหกรรม เช่น ข้อตกลงกับสหภาพแรงงานในการจ่ายชดเชยที่สูงมาก

3. อำนาจต่อรองของผู้ขาย (ซัพพลายเออร์)(Bargaining Power of Suppliers)
- จำนวนผู้ขายหรือวัตถุดิบที่มีอยู่ ถ้ามีผู้ขายน้อยราย อำนาจต่อรองของผู้ขายจะสูง
- ระดับการรวมตัวกันของผู้ขายวัตถุดิบ ถ้าผู้ขายรวมตัวกันได้ อำนาจการต่อรองก็จะสูง
- จำวนวัตถุดิบหรือแหล่งวัตถุดิบที่มี ถ้าวัตถุดิบมีน้อย อำนาจต่อรองจะสูง
- ความแตกต่างและเหมือนกันของวัตถุดิบ ถ้าวัตถุดิบมีความแตกต่างกันมาก อำนาจต่อรองผู้ขายจะสูง

4. อำนาจการต่อรองของกลุ่มผู้ซื้อหรือลูกค้า (Bargaining Power of Customers )
- ปริมาณการซื้อ ถ้าซื้อมาก ก็มีอำนาจการต่อรองสูง
- ข้อมูลต่างๆที่ลูกค้าได้รับเกี่ยวกับสินค้าและผู้ขาย ถ้าลูกค้ามีข้อมูลมาก ก็ต่อรองได้มาก
- ความจงรักภักดีต่อยี่ห้อ
- ความยากง่ายในการรวมตัวกันของกลุ่มผู้ซื้อ ถ้าลูกค้ารวมตัวกันง่ายก็มีอำนาจต่อรองสูง
- ความสามารถของผู้ซื้อที่จะมีการรวมกิจการไปดานหลัง คือ ถ้าลูกค้าสามารถผลิตสินค้าได้ด้วยตนเอง
อำนาจการต่อรองก็จะสูง
- ต้นทุนในการเปลี่ยนไปใช้สินค้าของคนอื่น หรือ ใช้สินค้าของคู่แข่งแล้วลูกค้าต้องมีต้นทุนในการเปลี่ยน
สูง อำนาจการต่อรองของลูกค้าก็จะต่ำ

5. แรงผลักดันซึ่งเกิดจากสินค้าอื่นๆซึ่งสามารถใช้ทดแทนได้ (Threat of Substitute Products or Services)
- ระดับการทดแทน เป็นการทดแทนได้มาก หรือทดแทนได้น้อยแค่ไหน เช่น เครื่องปรับอากาศกับพัดลม
- ต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแปลงการใช้สินค้าปัจจุบัน ไปสู่การใช้สินค้าทดแทน
- ระดับราคาสินค้าทดแทนและคุณสมบัติใช้งานของสินค้าทดแทน

Five Forces Model เป็น what to แต่องค์ที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการแข่งขันได้ครบถ้วนนั้นคือ How to build Competitive Advantage เพื่อชิงความได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitive Advantage) และจะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ให้บริการประสบความสำเร็จในธุรกิจ กลยุทธ์ทั่วไปหรือ Generic Strategy มีอยู่สามชนิดตามแนวคิดของ พอร์ตเตอร์ คือ

  • 1. Differentiation คือ การสร้างความแตกต่างให้สินค้าหรือบริการ โดนเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มคุณค่าสินค้า (Value Added) จะทำให้สินค้าหรือบริการสามารถขายในราคาที่สูงได้
  • 2. Cost Leadership คือการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยผู้ใดมีต้นทุนการผลิตต่ำที่สุดจะเป็นผู้ชนะ
  • 3. Focus ผู้ให้บริการมุ่งเจาะสินค้าเฉพาะกลุ่ม เช่น ทำ Consumer Segmentation แล้วเลือกเจาะกลุ่มผู้บริโภค เช่น ทำตลาดกลุ่ม ผู้บริโภคนิยมสินค้าที่มีลักษณะเฉพาะตัวและแตกต่าง Life Style เป็นต้น
  • Information: http://www.vcharkarn.com/vblog/41769 ,http://www.geocities.com/dol_nida/